แสงไฟสาดส่องไปทั่วฟลอร์ เสียงเพลงจากวงดนตรีบทเวทีดังกระฮึ่ม และเรือนร่างของผู้คนที่บิดผันกระเส่าร้อนเร่าตามจังหวะทำนองแห่งความสนุกในร้านกินดื่มแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง ทุกอย่างดูสลัวราวกับจะเป็นเงาที่ไม่สามารถแยกความแตกต่างทางอัตลักษณ์ได้ชัดเจน ผมยืนนิ่งจิบเบียร์จากปากขวดเล็กบริเวณเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม สายตาหลังกรอบแว่นหนากวาดผ่านภาพเหล่านั้นไปอย่างเลื่อนลอย ยังคงนิ่งงันไปกับบรรยากาศที่อยู่รอบๆ ตัว
ความนิ่งงัน
.จิบเบียร์จากปากขวดอีกครั้ง ของเหลวเมารสละมุนลิ้นในขวดสีชาพร่องลงไปจนเหลือเพียงครึ่ง ผมขยับกรอบแว่นด้วยมือขวา ตอนนี้ เสียงเพลงภายในร้านถูกเปลี่ยนมือจากดนตรีสดเป็นเพลงแนวเฮาส์รีมิกซ์จากเครื่อง CDJ ที่อยู่ในบูธละแวกใกล้ๆ หากแต่ความเคลื่อนไหวและจังหวะเรือนร่างของผู้คนยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไร้รอยสะดุด ทั้งๆ ที่ความติดขัดในสไตล์และประเภทดนตรีนั้นก็เด่นชัดจนยากจะทำเป็นเมินเฉย ผมวางขวดเบียร์ เอนหลังพิงกับขอบโต๊ะ ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ไม่เลย ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะรู้สึกสนุกสนานไปกับบรรยากาศเหล่านี้ และแม้จะพาตัวเองเพื่อมาสัมผัสและเก็บเกี่ยวเป็นประสบการณ์บ้างตามวิสัย ก็หาใช่ว่ามันจะได้รับการเติมเต็มกันสักกี่มากน้อย อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ ว่ามันมีสัจธรรมอันใดที่ผู้คนสามารถค้นพบและบรรลุได้ภายใต้แสงไฟ เสียงเพลง และก้นแก้วเหล้ากันอีกละหรือ
อันที่จริง ถ้าจะว่ากันตามตรง ผมเองก็ไม่สู้จะถนัดกับสถานที่เหล่านี้มากสักเท่าใดนัก อาจจะด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตของตนเอง ที่มักจะวนเวียนอยู่กับกิจกรรมเดิมซ้ำๆ ในฐานะนักเขียนอิสระที่โมงยามผ่านเข็มนาฬิกา จะหมดไปกับกองกระดาษ หน้าจอมอนิเตอร์โน้ตบุ๊ค สมุดบันทึก และความเลื่อนไหลของทุกสรรพสิ่งรอบๆตัวที่ราวกับจะหยุดนิ่งของห้องพักย่านกรุงเก่าเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้า บางทีอาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ก็เป็นได้กระมัง ที่ทำให้ผมตัดสินใจที่จะออกมาหาความโลดโผนสวิงสวายแห่งโลกที่แสงไฟเฉิดฉายใต้ฟ้าราตรีกาล
.
แต่เอาเถอะ ผมบอกกับตัวเอง เบียร์หมดเมื่อไหร่ ก็ไปเมื่อนั้น
ผมหักข้อนิ้วแก้ขบ นี่เป็นครั้งที่ห้าสำหรับความพยายามในการรับรู้ประสบการณ์อันสุดเหวี่ยงด้วยตนเอง แต่ไม่เคยมีเลยแม้สักครั้งที่ความเข้าใจจะฝังรากเข้าสู่ห้วงสำนึก ทุกสิ่งยังคงดำเนินไปในรูปแบบของมัน รวดเร็ว ฉับไว เร่งเร้า ยากแก่การตีความ และมี ‘ภาษา’ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมัน ที่คนอย่างผมไม่สามารถบังอาจไปเข้าใจได้ และพาลประหวัดคิดว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะมายังโลกแห่งนี้ ใช่
.ผมทอดถอนใจเอาเสียแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะความบังเอิญที่ฤทธิ์เบียร์มันแทรกซึมในทุกอณูของเส้นเลือด จนทำให้ผมต้องเซถลาไปทางด้านขวา และหันหน้าเพื่อจะได้พบกับเธอ
.
เธอคนนั้น
.ท่ามกลางเสียงดนตรี กลิ่นแอลกอฮอล์ และความอึมครึม เธอ
สาวสวยรูปร่างอวบในชุดแซกสั้นแขนกุดสีเข้ม ผู้ยืนเต้นในจังหวะแบบโบฮีเมียนกับขวดเบียร์เล็กสีชาในมือขวา ในมุมหนึ่งของร้านกินดื่มแห่งนี้เพียงลำพัง แน่นอน จังหวะของเธอผิดแผกแปลกออกไปจากคนอื่นๆ (ที่มักจะมีท่าเต้นในแบบพิมพ์นิยมเดียวกัน) แต่กลับเข้ากับทำนองของดนตรีอย่างน่าประหลาด จะเพราะเหตุนี้หรือเปล่านะ ที่ทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้ ท่วงท่าราวกับว่าโลกทั้งใบไม่เคยมีตัวตน ผมสลวยเคลี้ยบ่าดัดเป็นลอนขยับพริ้วตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย เรือนร่างที่เบียดใต้เนื้อผ้าที่เธอสวมใส่ สายตาที่หลับพริ้มดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรีบางชนิดที่มีอยู่แต่ในหัวใจของเธอแต่เพียงผู้เดียว
สาวสวยผู้โดดเดี่ยว
.กับขวดเบียร์ของเธอ
โดดเดี่ยว
.เหลือเกิน
ทว่าโดดเด่น
.เกินคณานับ
เป็นเอกเทศ
จากสิ่งรอบข้างอย่างสิ้นเชิงหัวสมองของผมเคลื่อนที่คิดคำนึงอย่างช้าๆ มันน่าประหลาดใจอย่างเหลือล้นที่หญิงสาวเช่นเธอต้องมาร่ายรำอยู่เพียงลำพัง เปล่าเลย ใช่ว่าเธอจะร้างไร้คนที่เข้าหา ผมจับสังเกตมาโดยตลอด แต่อาจจะเพราะท่วงท่าที่เธอใช้ และการไร้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่รอบข้างกระมัง ที่ขับไล่แขกผู้ไม่พึงประสงค์ทั้งหลายให้ถอยห่างออกไป ผมใช่สองตาเก็บเกี่ยวความเพลิดเพลินจากภาพดังกล่าวจนกระทั่งร่างงามพลันเซมาทางด้านซ้าย อาจจะเพราะจำนวนคนที่มากมายเกินกว่าพื้นที่ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ตัวดีมากล่อมเกลา หรือความบังเอิญสุดหยั่งคาด จะอะไรก็ตาม แต่แล้ว สายตาของผม ก็ประสานเข้ากับสายตาของเธอ พร้อมกับการปฏิสัมพันธ์แรก
รอยยิ้ม
แรกเริ่ม ผมไม่สู้จะแน่ใจเท่าใดนัก ว่ารอยยิ้มที่ดูเหมือนจะแก้เก้อในอิริยาบถของเธอนั้น ส่งตรงมาถึงใคร แต่มันค่อนข้างจะน่ารัก ใสซื่อ และจริงใจมากพอที่จะสว่างวาบท่ามกลางบรรยากาศที่ฉาบเคลือบไปด้วยความไร้ระเบียบแห่งนี้ ผมจิบเบียร์จากในขวด หัวสมองครุ่นคิด
คล้ายกันเหลือเกิน
..คล้ายกับใครบางคนในห้วงแห่งความทรงจำ
.เสียงเพลงบรรเลงต่อเนื่อง เบียร์ถูกจิบผ่านลำคออีกหน แม้ภาพที่เห็นจะติดตรึง แต่ความสับสนกลับค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นริ้วๆในจิตใจ ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างคือความคลุมเครือ ไร้ความชัดเจน มันสมควรแล้วหรือที่ผมจะเอาถือเอาสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเป็นสาระ เธอคนนั้นก็เป็นเพียงแค่ใครคนหนึ่ง ในค่ำคืนแห่งนี้ หากแต่รอยยิ้มและแววตาของหญิงสาวที่ปรายขึ้นท่ามกลางความสลัวแห่งบรรยากาศที่ส่งตรงมาอีกครั้งนั้น ก็ค่อยๆ ละลายความลังเล และทำให้ผมตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาเธอ
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังยิ้มให้ใคร
” ผมเอ่ยขึ้น มือขวาถือขวดเบียร์ ใบหน้านิ่ง “แต่อย่างน้อยถ้าไม่รังเกียจ ขอผมดื่มกับนักเต้นสาวผู้เริงร่ายไปกับขวดเบียร์ของเธอสักหน่อยจะได้ไหมครับ
.”
ในตอนนี้ ถ้าจะมองโครงสร้างของประโยคในการเชื้อเชิญหรือขอชนแก้วที่ได้เอ่ยไป ว่าตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นที่ได้รับการสอนสั่งจากเพื่อนซี้ผู้สันทัดจัดเจนในโลกแห่งคนกลางคืนของผมนั้น มันคงจะประเมินคุณภาพให้ต่ำกว่าเกณฑ์อย่างไม่ต้องสงสัย ผมพอจะเข้าใจ แต่ท่ามกลางความมืดสลัว รอยยิ้มบางๆ ก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธออีกครั้ง
“ก็ไม่ได้ยิ้มให้ใครเป็นพิเศษหรอกค่ะ เผอิญว่าคุณหันมาทางนี้พอดี ว่าแต่...” สิ้นประโยค เสียงกิ๊งจากการกระทบระหว่างขวดของผมกับของเธอก็ดังขึ้นแทรกมาท่ามกลางความอึกทึก เธอโน้มตัวมากระซิบที่ข้างๆ หู
“
จะขอชนแก้วกับผู้หญิง คุณคงต้องร่าเริงกว่านี้หน่อยนะ พ่อเสือยิ้มยาก
”
น้ำเสียงใสๆ และรอยยิ้มละไม นำส่งประโยคที่ชวนให้ใจสั่นไหวไม่น้อยผ่านเข้าสู่โสตสัมผัส ผมนิ่งอึ้งชั่วครู่ในขณะที่เธอกระดกขวดเบียร์ส่งน้ำเมาเข้าริมฝีปากอิ่ม เธอตัวเล็กกว่าที่ผมกะไว้จากสายตาพอสมควร แม้จะมีรองเท้าส้นเข็มคู่งามช่วยหนุนส่งแต่เธอก็สูงขึ้นเลยจากหัวไหล่ของผมไปเพียงนิดเดียว ผมกระดกเบียร์ลงคอก่อนจะประสานตาของตนเองเข้ากับแววตาคู่งามของเธอ
“เราเคยพบกันมาก่อนรึเปล่า?”
“ไม่คิดว่าอย่างนั้นนะคะ ทำไมหรือ?” สำเนียงใสหยั่งเสียงให้กับความกังขาของผม ผมขยับขวดเบียร์หมุนในมือ โน้มตัวลง กระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหูของเธอ
“ผมอยากจะแน่ใจ ว่าคุณใช่ หรือไม่ใช่คนๆนั้นของผม
”
สิ้นสำเนียงกระซิบแผ่วเคล้าความอึกทึก ผมนึกประหลาดใจตัวเอง เปล่าเลย หาใช่ว่าผมอยากจะทำทุกสิ่งเป็นเพียงกระบวนการง่ายๆ ของความลุ่มหลงอย่างที่พึงเป็นในโลกแห่งโมงยามราตรีกาล ที่สนองด้วยการเกี้ยวหญิงที่ตัวเองไม่รู้จัก เพียงแต่ความเป็นตัวเธอที่ปรากฏออกมาโดยคร่าวๆ นั้นสะกิดความรู้สึกของผมอย่างที่ไม่อาจจะระงับ เธอจ้องหน้าผมอย่างงงๆ ก่อนที่เสียงหัวเราะใสๆ และแววตากึ่งเชื้อเชิญจะตามมา
“ตายละ
” ปรารภหยอกเอิน น้ำเสียงสนุกสนานในกิริยาของผมอยู่ในที “นอกจากจะเป็นเสือยิ้มยากแล้ว ยังเป็นเสือผู้หญิงด้วยเหรอ คุณนี่ร้ายไม่ใช่เล่นนะ ทำแบบนี้กับทุกคนรึเปล่าคะ?”
“ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ ผมทำเรื่องดังกล่าวกับคุณแค่คนเดียว
” ผมเอ่ยตอบไปตามจริง แน่ล่ะ ผมอาจจะเป็นเสือยิ้มยาก แต่หาใช่เป็นเสือผู้หญิง และผมก็ไม่เคยที่จะทำเช่นนี้กับใคร อีกครั้งที่เธอหัวเราะเบาๆ ให้กับประโยคดังกล่าว
“อย่างนั้นเหรอ แล้วแบบนี้
..” เธอเว้นช่วง โน้มตัวขึ้นมากระซิบที่ข้างหูผมอีกครั้ง “ชั้นควรจะเป็นใครดีล่ะ เป็นตัวชั้นเอง หรือว่า
.เป็นใครคนนั้นของคุณ”
“สะดวกใจจะเป็นแบบไหนก็ตามแต่เถอะ
”
“คนพิลึก
” เธอตัดพ้อกึ่งเล่นกึ่งจริง “แล้วคุณจะแน่ใจได้ยังไง ว่าชั้นพูดความจริง
”
“นั่นคงขึ้นอยู่กับความจริงใจของคุณแล้ว” ผมตัดบท ยักไหล่อย่างไม่ใยดี แต่รอยยิ้มบางๆ ก็อดไม่ได้ที่จะปรายบนริมฝีปากเมื่อสบสายตาเข้ากับแววตาและรอยยิ้มของหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้า อีกครั้งที่เราชนขวดเบียร์ และร่ำดื่มไปด้วยกันภายใต้บรรยากาศสลัวแสงไฟ
มันเป็นการพบกันของคนแปลกหน้า
.โดยแท้อันที่จริงแล้ว มันอาจจะไม่เคย หรือมีความมุ่งหมายใดๆ ที่เกิดจากเจตนาโดยสมบูรณ์ ณ สถานที่แห่งนี้
กับชายร่างสูงท้วม ผมยาวประบ่า แว่นกรอบหนา เชิ้ตสีดำ กางเกงยีนส์สีสนิม อย่างเช่นที่ตัวของผมเป็นนั้น มันคงจะเป็นของธรรมดาที่สามารถหาได้ทั่วไป หากแต่ในสภาพที่ความคลุมเครือแห่งบรรยากาศ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ และเสียงเพลงกลบความคิดแทรกซึมอยู่ในทุกอณู มันดูจะเป็นประหนึ่งเชื้อไฟที่เร่งเร้าเคมีระหว่างคนสองคน และตัดทอนเวลาเริ่มต้นแห่งความสัมพันธ์ระหว่างกันให้สั้นลง จากสาม หรือสี่เดือน ให้เหลือเพียงแค่สาม หรือสี่นาที ทุกอย่างเป็นเพียงการขับเคลื่อนของความ ‘บังเอิญ’ ของแต่ละคนที่ซ้อนทับกัน เป็นความลวงตาที่ห่มคลุมจนกฏเกณฑ์และความเป็นจริงของโลกใบนี้ถูกลดทอนความสำคัญลงจนไม่ถือเป็นสาระอย่างสิ้นเชิง
เราสองคนเดินผ่านขั้นตอนการแนะนำตัวกันอย่างสั้นๆ ที่ไม่เป็นพิธีรีตองมากนัก ไม่ต้องรู้พื้นเพ ไม่ต้องใส่ใจปูมหลัง รู้กันแค่เพียงชื่อของกันและกันความสะดวกในการเรียกหา เพราะทั้งผมและเธอต่างกำกับไว้ในใจ เราเพียงต้องการจะรู้ ว่าต่างฝ่ายต่างมีตัวตน แต่ไม่ก้าวก่ายไปสู่เบื้องลึกของกันและกัน ก่อนที่จะเบี่ยงประเด็นไปยังเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ ของสภาพรอบๆ ตัวเพื่อเป็นกับแกล้มแก้เก้อ
“สรุปแล้ว
.” สาวสวยเอ่ยถามผมหลังเปิดเบียร์ขวดที่สอง เธอดูผ่อนคลายลงมาก สองขาไขว้กันพอเห็นน่องอ่อนที่เผยออกมาจากชุดแซกรำไร เธอค่อนข้างขาวพอสมควรเมื่อผิวเนียนกระทบแสงไฟจากเคาน์เตอร์ “คุณพอจะบอกได้รึยังคะ ว่าชั้นเป็นใครคนนั้นของคุณรึเปล่า?”
“แล้วถ้าผมบอกออกไปแล้ว
” ผมหยุดเว้นช่วง ขยับกรอบแว่นและลูบเครา จิบเบียร์ “คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าผมพูดความจริงออกไป”
“นั่นก็คงต้องขึ้นกับความจริงใจของคุณละมัง
” เธอย้อนคำพูดของผมเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับมัน ไม่ใช่ว่าอับอาย หรือตลกตัวเองที่ถูกคนอื่นเอาคำพูดมาขว้างใส่หน้า แต่มันกลับเป็นอารมณ์สนุกปนความขมในลำคอ เพราะคำถามง่ายๆ...
....กลับเป็นสิ่งที่ตัวของผมตอบออกมาได้ยากที่สุดในเวลาเช่นนี้
ขึ้นกับความจริงใจของคุณ
มันคงต้องถามต่อไปอีกว่า จริงใจต่อใคร
ต่อตัวเธอ...
ต่อตัวผม
.
หรือต่อทั้งสองกรณี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เอาเถอะค่ะ
” ราวกับจะจับความวุ่นวายในหัวของผมได้ราวกับวิ่งบนฝ่ามือ เธอกลับเป็นฝ่ายเบี่ยงประเด็น พลางจูงมือของผมไปยังพื้นที่ว่างที่อยู่ไม่ห่างกันมากนัก “เรามาเต้นกัน”
“ผมเต้นไม่เก่ง
”
“ชั้นก็ไม่เก่งเท่าไหร่นักหรอกค่ะ
”
“ผมไม่คิดว่าอย่างนั้นนะ
” ประโยคจากริมฝีปากหนาและรอยยิ้มที่มุมปากปรายขึ้นบนใบหน้า ผมนึกถึงท่วงท่าอันสง่างามของเธอในยามโดดเดี่ยว คงพูดได้เพียงแค่สาวสวยคนนี้คงจะประเมินตัวเองต่ำไปสักนิดเสียแล้วล่ะ เธอจ้องหน้าผม หรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับจะล่วงรู้ความคิด รอยยิ้มและสายตาเชื้อเชิญปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวผ่องในพื้นที่ริบหรี่แสงไฟ เราสองจ้องตากันเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะปล่อยให้เสียงเพลงแนวทรานซ์ที่แสนจะพลิ้วไหวเป็นประหนึ่งเข็มทิศที่ชี้นำเราให้ลอยล่องไป ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีทางแห่งใจ ท่วงท่าร่ายรำอันไร้ระเบียบและเก้อเขินไว้ตัวของผม สามารถสอดประสานเข้ากับท่วงท่าแห่งโบฮีเมียนของเธอได้อย่างกลมกลืนใน ราวกับว่ามันกำลังจะดูดผมให้หลอมรวมเข้ากับจังหวะของเธอคนนั้นอย่างช้าๆ ไปพร้อมกับตัวเร่งที่ฟุ้งกระจายอยู่ในทุกอณูอากาศ
แอลกอฮอล์
เสียงเพลง
แสงไฟ
เรือนร่าง
กลิ่นกาย
ผมเบียดชิดเข้าหาเธอทางด้านหลังอย่างแผ่วเบา สองมือตระกองโอบไว้รอบเอว คางเชยกับหัวไหล่ขวาในขณะที่เธอปล่อยตัวเอนศีรษะมาซบกับหัวไหล่ซ้าย ค่อยๆ เลื่อนมือขวาลูบไล้ไปตามลำตัวของเธอ มือซ้ายลูบไปตามต้นขา สัมผัสถึงความอ่อนนุ่มของเนื้อผ้า เป้ากางเกงยีนส์สีสนิมซีดรับรู้ความโค้งเว้าของบั้นท้ายอันแสนอวบอัดราวกับไม่มีเครื่องนุ่งห่มใดๆ มาปิดกั้น แก้มข้างขวาสัมผัสได้ถึงความเนียนของต้นแขนที่โอบรอบมาทางด้านหลัง ลมหายใจอุ่นของผมถือวิสาสะแตะไปที่ใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มของเธอ พร้อมกับที่ผมปลดปล่อยความคิดและจิตวิญญาณไปกับจังหวะเสียงเพลงราวกับจะหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังนั่งจ้องมองภาพสามมิติ ผลงานการสร้างอันแสนหลอกตาที่เคยเป็นของเล่นฮิตติดกระแสลมบนอยู่พักหนึ่งเมื่อครั้งอดีต จะต่างกันตรงที่จุดรวมสายตาหาใช่ตำหนิที่ถูกทำขึ้นบนภาพ หากแต่เป็นสะเก็ดแห่งความทรงจำอันหลากหลายที่ค่อยๆ ก่อกำเนิดขึ้น
และผลสัมฤทธิ์สุดท้ายที่กำลังเป็นรูปเป็นร่าง
.คือเธอที่อยู่ต่อหน้าผม “คุณกำลังคิดอะไรอยู่หรือคะ?”หญิงสาวเอ่ยขึ้น ในขณะที่มือทั้งสองข้างยังคงคลอเคลียอยู่กับต้นคอ กลิ่นหอมจางๆ ของแชมพูบนเส้นผมลอยกระทบจมูก
“แล้วคุณล่ะ?”
“ไม่รู้สิ ชั้นแค่คิดว่า
” เธอหยุดเว้นช่วง หากแต่เรือนร่างยังคงโยกย้ายสัมพัทธ์กับการเลื่อนไหลของเสียงเพลง “ถ้าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงความฝัน ชั้นก็ไม่อยากตื่นขึ้นมาเลย
.”
“อย่างนั้น เราก็ยังไม่ต้องตื่น
.” ผมรำพึง พร้อมกับบรรจงจุมพิตที่แก้มข้างขวาของเธอ ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาที่ใบหู กับคำพูดที่ผมอยากจะบอกกับเธอมากที่สุดในห้วงเวลานั้น
“คืนนี้คุณอยู่กับผมนะ
.” ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความเงียบงัน
เสียงครางของเครื่องยนต์ดังอย่างเรียบๆ ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงวิทยุรายงานสภาพการจราจรแห่งค่ำคืนที่ดังแผ่วผสานกับเสียงเครื่องปรับอากาศในรถแท็กซี่ที่โดยสารมา ผมนั่งจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง เม็ดฝนหยดลงประปราย สีสันและแสงไฟจากตึกรามบ้านช่องบิดเบี้ยวสะท้อนเรียงรายยาวเป็นทางก่อกำเนิดเป็นรูปร่างที่แปลกตาสวยงามท่ามกลางโมงยามที่ท้องฟ้าคว้าราตรีกาลมาห่มคลุม ผมละเลียดความงดงาม ดื่มด่ำกับภาพแห่งท้องถนนเปื้อนสายฝน และรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวเบาๆ ทางด้านซ้ายของตัวเอง
.
เธอคนนั้น
.
ตัวเลขดิจิตอลบนนาฬิกาติดรถบอกเวลาห้าทุ่มกับอีกสิบนาที แม้จะเหลืออีกสามส่วนสี่ของหน้าปัดที่ซินเดอเรลลาจะต้องลาจากเจ้าชายไปสู่เคหาสถานด้วยรถม้าฟักทอง แต่ในยามนี้ มีแต่เพียงหญิงสาวผู้กำลังเอนศีรษะพิงกับหัวไหล่ของชายหนุ่มผู้ที่มีแต่ความสับสนวิ่งวนเต็มหัวใจในรถแท็กซี่สีส้ม ลมหายใจของเธอแผ่วเบา กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยเจือกับน้ำหอมปรับอากาศจางๆ มือของเรายังคงเกาะกุมไว้อย่างหลวมๆ ไม่อาจจะรู้ได้แน่ชัดว่าเธอกำลังหลับ หรือตื่นอยู่
ความฝัน
.?
ผมไม่อาจจะแน่ใจด้วยซ้ำ ว่าเธอตอบรับคำเชิญอันแสนอุกอาจนั้นอย่างไร พยักหน้าแผ่วเบา? จุมพิตที่แก้มข้างซ้าย? หรือเป็นเธอเองที่จูงมือผมออกมาโบกรถหน้าร้าน?
.ในตอนนี้ สายตาของผมที่มองตรงไป กลับไม่เห็นภาพใดๆ นอกจากความฝันกับความเป็นจริงที่เหลื่อมซ้อนทับถมกันอย่างยากจะจำแนก ผมไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยผูกความสัมพันธ์กับใครๆ เกินกว่าความจำเป็นทางด้านการงาน มีเพื่อนอย่างผิวเผิน ไม่รับ และไม่ให้ประโยชน์อะไรกับใคร ไม่แสดงความต้องการของตนเองอย่างออกนอกหน้า กับการที่ผมเรียกร้องเพื่อให้ใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อนในคืนหนึ่ง มันออกจะผิดวิสัยที่เคยเป็นมาอยู่เอามากๆ ผมเบนสายตาจับจ้องนอกหน้าต่างอีกครั้ง สายฝนยังคงโปรยปรายไม่ขาดสาย ความลังเลใจยังคงวนเวียนอยู่ในสำนึก อยากเอื้อนเอ่ยถามไปกับหยดน้ำที่เกาะอยู่ข้างกระจก ว่าผมต้องการเช่นนี้จริงๆหรือ? ต้องการเธอ ที่กำลังเบียดชิดอิงแอบกับผมในเบาะหลังรถแท็กซี่ หรือว่าใครคนหนึ่งที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำห่างไกลกันแน่
.
“เป็นอะไรไปคะ?” เสียงหวานใสดังขึ้นอย่างเรียบๆ แทรกตัวเข้ามาในห้วงคำนึง หันหน้ากลับไป เธอยังไม่หลับ รวมถึงสายตาสดใสเย้ายวนคู่นั้นก็บ่งบอกว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์ไม่ได้ซึมเข้าเส้นจนตัดเอาสติสัมปะชัญญะของเธอให้ขาดสะบั้นลงอย่างสิ้นเชิง
“ผมแค่คิดอะไรหน่อยนึงน่ะ” ผมเสตอบ พลางเบนสายตากลับมายังภาพจากกระจกใสหน้ารถ ท้องถนนยังคงเต็มไปด้วยแสงไฟข้างทาง และความงดงามของริมน้ำเจ้าพระยา แต่ในใจของผมกลับรู้สึกเวิ้งว้าง เปล่าเปลี่ยว ราวกับเส้นทางสู่ห้องพักย่านกรุงเก่าของผมนั้นมืดมน และทอดยาวไปยังสถานที่ที่ไม่เคยไปและไม่คุ้นเคยมาก่อน ผมเอนศีรษะกับพนักพิง มือขวาเสยผมและขยับกรอบแว่น
“ทำไมคุณถึงตัดสินใจที่จะมากับผมล่ะ?” น้ำเสียงเรียบขยับเป็นคำถาม แต่ไม่คาดหวังว่าจะได้คำตอบใดๆ ออกมา หญิงสาวขยับตัวเบียดชิดกับผมมากขึ้น แนบสนิทจนสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายของสตรีเพศอันแสนอ่อนโยน เร่งเร้า ศีรษะของเธอซบลงกับหัวไหล่
.
“ก็แค่อยากรู้
.”
“รู้อะไร?”
“รู้ว่าชั้นเป็นใครคนนั้นของคุณรึเปล่า
.” มันยังเป็นคำถามที่วนเวียนหลอกหลอนอยู่ในใจของผม ความกังขาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน สะท้อนก้องในโมงยามแห่งสุญญากาศทางความรู้สึกในขณะนี้ แล้วผมล่ะ
. ผมยังต้องการจะรู้ หรือแสวงหาคำตอบของคำถามนั้นอยู่อีกหรือ ? เธออาจจะไม่ได้ถือเอามันมาเป็นสาระสำคัญอะไรเลยก็เป็นได้ ร่างของเราทั้งสองยังคงเบียดชิดเพื่อเรียกหาความอบอุ่นของกันและกัน แต่จิตใจผมพลันประหวัดไปถึงภาพยนตร์ของผู้กำกับหว่องการ์ไวขึ้นมาโดยทันควัน
รถแท็กซี่
บรรยากาศยามค่ำคืน
.
หญิงซบไหล่ชาย
.
เคลื่อนคล้อยตะกายในความเปลี่ยวเหงา
.
นึกขำขื่นอยู่ในใจ นี่มันเหมือนสร้างมาเพื่อสถานการณ์นี้โดยเฉพาะชัดๆ เหมือนผมเป็นโจวมู่หวัน ชายหนุ่มอกตรมผู้ฝังใจกับภาพรักแห่งอดีตกาลใน In the mood for Love หรือจะเป็นยกไจ๋ ชายเพลย์บอยผู้ไม่อาจมอบความรักให้กับใครใน Day of Being Wilds แต่จะอย่างไรก็ช่าง ผมรู้อยู่เพียงแค่คำตอบเดียว
.
ณ ตอนนี้
.เธอคือโซวไหล่เจิน
.
ณ ตอนนี้
..เธอคือจางม่านอวี้
.
ณ ตอนนี้
..เธอคือคนๆนั้นของผม
.. รถแท็กซี่ยังคงขับเคลื่อนต่อไปบนท้องถนน ผมโอบกอดร่างงามไว้กับตัว หลับตา ละเลียดสายลมจากเครื่องปรับอากาศ รับรู้เพียงความสั่นไหวของลมหายใจที่อยู่ข้างๆ เตรียมพร้อมกับเส้นทางที่ผมจะเป็นผู้เปิดออกไปด้วยตนเอง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บรรยากาศภายในห้องพักนั้นอบอ้าวยิ่งนัก พัดลมตัวใหญ่บนฝ้าเพดานส่งเสียงครางแข่งกับสายฝนที่เทกระหน่ำด้านนอกระเบียง เสียงกองกระดาษตีพั่บๆ จากสายลมดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ร่างของเธอถูกผมดันให้แนบชิดติดกับกำแพง ลิ้นของเราพันกันแลกเปลี่ยนของเหลวผ่านริมฝีปากด้วยความกระเส่าร้อนเร่าบ้าระห่ำ มือข้างซ้ายของผมวาดผ่านลำตัวของเธอที่ห่มคลุมด้วยชุดแซกอย่างเด็กผู้อยากรู้อยากเห็นลงมาจนถึงขอบชั้นใน สัมผัสถึงความขรุขระของลายลูกไม้ที่หลบซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้า รับรู้ถึงความฉ่ำที่แทบจะล้นทำนบจนไม่อาจจะปิดกั้นไว้ในฝ่ามือ ข้างหญิงสาวก็ใช่เล่น มือไม้ข้างหนึ่งลูบไล้ผ่านแผ่นหลังหนา ส่วนอีกข้างลากไปตามหน้าท้องของผมที่แซมไปด้วยชั้นไขมัน ก่อนจะลดยาวลงมาที่ซิบกางเกงยีนส์สีสนิมซีด คลำหาตะขอเพียงเพื่อจะปลดและได้สัมผัสกับความเป็นชายที่มันพร้อมจะออกสู่อิสรภาพในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้
หลังจากก้าวลงรถแท็กซี่ ผ่านประตูทางเข้าชั้นล่างสุด และเดินขึ้นมาถึงห้อง 203 ที่พักของผม กระบวนการทั้งหมด ด้วยระยะทางเพียง 26 ขั้นบันไดกับอีกสิบเมตรกว่าๆ และใช้เวลาไม่ถึงห้านาที เราสองคนกลับทำได้แค่เพียงโอบกอด ไม่กล้าแม้แต่จะจ้องตา ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ เพราะต่างรู้ดีอยู่กับใจ ว่าไฟพิศวาสในอกมันสุมก่อปะทุขึ้นเป็นกองรอแค่เวลาระเบิด ยิ่งเข้าใกล้ที่หมายมากขึ้นเท่าไหร่ ความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดก็ยิ่งลดถอยลง จนผมและเธอแทบจะกระโจนเข้าใส่กันในทันทีที่ลั่นดาลลงกลอนประตูห้อง
“ไม่ต้องเปิดไฟนะคะ
” เสียงหวานกระเส่าบางเบาร้องขอหลังจากที่กิจกรรมโอ้โลมเรียกน้ำย่อยปิดม่านลงไปหนึ่งองก์ ท่ามกลางความมืดมิดอนธกาล มันเป็นความยากลำบากที่จะจับภาพใดๆ ที่อยู่ต่อหน้า นอกเหนือไปจากภาพที่อยู่ในจิตใจ ดวงหน้าของเธอเป็นเพียงเงารางๆ ผมใช้ริมฝีปากไซ้บดไปตามซอกคอ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเครื่องประทินโฉมลอยผ่านจมูก แทรกด้วยเสียงครวญครางน่าฟังจากลำคอ
“ทำไมล่ะ?” ผมเอ่ยถาม พลางใช้มือข้างขวาที่ยังเป็นอิสระบดลงกับอกอวบอิ่มในชุดแซกของเธอ หญิงสาวไม่ตอบคำถามด้วยคำพูด หากแต่หยุดการกระทำทุกอย่างของผมในห้วงขณะนั้นๆ ผมนิ่งชะงักด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะร่างงามในความมืดสลัวนั้นจะคุกเข่าก้มลง รู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มเรียบลื่นของเส้นผมที่ไล้ผ่านหน้าท้อง มือข้างหนึ่งของเธอคว้าเอาตัวแทนของความเป็นชายของผมที่เขม็งตึงประหนึ่งเหล็กเพชรมาลูบไล้อย่างเชื่องช้า เนิ่นนาน ก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงการจุมพิตอย่างแผ่วเบา และรับรู้ได้ถึงความฉ่ำที่ครอบคลุมในทุกๆอณูในวินาทีถัดมา
ในตอนนั้น ราวกับถูกแช่แข็ง ที่ทุกประสาทสัมผัส ทุกความทรงจำ ทุกการรับรู้ในแง่เวลาและสถานที่ของผม ถูกทำลายพังพาบลงจนไม่เหลือชิ้นดี ผมครางในลำคออย่างเปี่ยมสุข การเชื่อมประสานกันของภาพความทรงจำและความเป็นจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้า หลอมรวมจนเป็นเนื้อเดียวกัน มากขึ้นทุกขณะ
“พอได้แล้ว” ผมเอ่ยตัดบทการกระทำของเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พอกันที ผมรั้งตัวของเธอขึ้นมา ประสานสายตาของเราเข้าด้วยกัน ก่อนจะขยี้ปากเธอด้วยความหื่นกระหายในความต้องการอย่างรุนแรง หญิงสาวดูเหมือนจะชะงักในช่วงแรก ก่อนจะสนองตอบผมในระดับความปราถนาที่ใกล้เคียงกัน ผมกระชากชั้นในตัวจิ๋วของเธอจนขาดติดมือ เธอปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของผม ทุกการกระทำดำเนินไปอย่างบ้าคลั่งทั้งๆ ที่เราสองยังไม่ได้ละริมฝีปากออกจากกันเลยด้วยซ้ำ
“คุณพร้อมนะ?” ผมละปากก่อนเอ่ยคำถาม พร้อมกับเงาร่างของหญิงสาวที่พยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนที่ผมจะจัดแจงเอาลำท่อนความเป็นชายชำแรกเข้าไปในร่างกายของเธอ สัมผัสได้ถึงแรงต้านน้อยๆ ที่สะท้อนกลับออกมาและแรงกดจิกจากเล็บที่ฝังลงบนท่อนแขน ผมค่อยๆ ประคองร่างบางของเธอวางลงบนเตียง สองมือของหญิงสาวตระกองก่ายไปที่แผ่นหลังกำยำของผม ก่อนจะตามมาด้วยความเคลื่อนไหวของสองเราที่เริ่มต้นจากความเนิบช้าสู่จังหวะที่เร่งขึ้นในทุกอณูของความรู้สึก ลมหายใจของเธอขาดห้วง เสียงครางกระเส่าในลำคอ ในขณะที่ลมหายใจของผมรุนแรงถี่ยิบราวกับจักรผัน และเสียงคำรามในลำคอราวกับสัตว์ป่าเมาเลือด ในห้วงเวลานั้นเอง ที่ภาพจากห้วงลึกของความทรงจำค่อยๆ ผุดขึ้นมา อย่างช้าๆ ปรากฏออกมาให้เห็นเป็นเธอคนนั้น
.
รักครั้งแรกของผม
.ความหวานล้ำ ความประทับใจ และความบริสุทธิ์ในความสัมพันธ์อันไร้รอยแปดเปื้อนระหว่างสองเราในวัยเยาว์ลอยเด่นขึ้นมา แต่ผมกลับไม่สามารถจดจ้องมองเค้าหน้าเธอได้ตรงๆ มีก็แค่เพียงเงารางเจือจาง ที่กลับกลายเป็นเพียงหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าผมเท่านั้น ยิ่งพยายามนึกเท่าไหร่ ภาพเก่าๆ เหล่านั้นก็ดูเหมือนจะหลุดลอยห่างไกลออกไป ผมพยายามขืนตัวเองจากทุกกิจกรรมที่กำลังกระทำ ผมต้องหยุด ผมต้องทำลายอารมณ์พิศวาสที่กำลังดำเนินไปเหล่านี้ และไล่ตามภาพเหล่านั้นก่อนที่มันจะสูญสลายหายไปตลอดกาล แต่ร่างกายกลับตอบสนองในทางตรงกันข้าม ราวกับว่าทั้งตัวของผมกำลังหล่นลงสู่บ่อโคลนดูดที่ไร้ก้น และเสียงแห่งความหวาดกลัวที่ฝังอยู่ในจิตใจ กลับกลายเป็นเสียงครางเปี่ยมสุขจากลำคอที่ไม่อาจควบคุม ในตอนนั้นเอง ที่ผมรู้สึกราวกับตัวตนที่อยู่ภายใน หลุดลอยออกจากร่างเนื้อกายหยาบ ยืนจ้องมองกิจกรรมทางเพศอันดุเดือดคลุ้มคลั่งที่ไม่อาจมีสิ่งใดเข้าไปหยุดยั้งมันได้
ผมกลายเป็นเพียงวิญญาณ
เป็นเพียงสายลมพัดผ่าน
.
เป็นเพียงอณูว่างเปล่าที่ไร้ตัวตน “หยุด! หยุดก่อน! แกไม่เห็นเหรอว่าบางสิ่งกำลังจะหายไปน่ะ!!! รีบตามมันไปสิ!!” ผมตะโกนใส่ร่างเนื้อที่อยู่ต่อหน้าที่กำลังไซร้ซอกคอหญิงสาว แต่ไร้ผล ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามวิถีของมัน ลำตัวขยับเร็วขึ้น เร็วขึ้น ในวินาทีนั้นเอง ที่ผมกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง พร้อมคลื่นแห่งจุดสูงสุดที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย สติผมขาดห้วง เสียงคำรามจากลำคอดังกึกก้อง ใบหน้าเงยเหยเกจากความอิ่มสุขที่ถะถั่งจนแทบล้น แผ่นหลังรู้สึกถึงการจิกกดของเล็บของหญิงสาว
พร้อมกับบางสิ่งในตัว
.ได้ขาดหายไปกลายเป็นช่องว่างที่เงียบงัน
..ตลอดกาล
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เสียงเข็มนาฬิกาเดินบอกเวลาแห่งค่ำคืนเชื่องช้า คลาคล่ำไปกับเสียงแห่งจราจรบางเบาในถนนเก่าเลียบน้ำเจ้าพระยา พัดลมตัวใหญ่บนเพดานครางหึ่ง เสียงกองกระดาษต้องลมกระทบกันชวนให้รำคาญ ผมนั่งเปลือยอกบนขอบเตียง ละเลียดควันบุหรี่สีเทาจางที่ลอยละลายไปกับอณูอากาศอย่างเอื่อยเฉื่อย สายตาหม่นเศร้าจับจ้องที่ร่างของหญิงสาวที่นอนตะแคงเอียงข้างหันหลังอยู่บนเตียง ผมละเลียดควันบุหรี่เข้าปอดอีกหนึ่งชุด หมดสิ้นแล้ว ผมรำพึงกับตนเอง เพียงระยะเวลาไม่กี่นาทีแห่งกิจกรรมเริงสังวาส ภาพแห่งอดีตรักเก่า ตัวตน และความทรงจำทั้งหลายในวัยเยาว์ของผม ราวกับถูกฉีกทึ้งลงไม่เหลือแม้แต่ชิ้นดี ประหนึ่งว่าทุกกระบวนการที่ผ่านมา ได้บรรจบทุกสิ่งให้ครบวัฏจักรที่เดินทางมาสู่บทสรุปอันเป็นหนึ่ง
..
ผมไม่เหลือภาพของเธอคนนั้นอีกแล้ว
.
ถอนหายใจหนึ่งเฮือก รู้สึกใจหายว่างเปล่า ก่อนจะหยิบแผ่นหนัง Last Life in the Universe ของเป็นเอก รัตนเรืองใส่เข้าไปในถาดเครื่องเล่น DVD พร้อมภาพหนังรักเศร้าๆ เหงาๆ จะฉายขึ้นบนจอ สายตาของผมจับจ้อง ควันบุหรี่ลอยเอื่อย แต่ในหัวกลับนึกคำนึงถึงคำพูดที่ผมเอ่ยถามหญิงสาวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้น
.
ผมอยากจะแน่ใจว่าคุณใช่ ‘คนๆนั้น’ ของผมหรือเปล่า?....มันคงไม่สำคัญอีกแล้วว่าเธอจะเป็น หรือไม่เป็น มันเลยขอบเขตในการชี้วัดความเป็นไปของทุกสิ่งอย่างที่มันควรเป็น ผมเดินทางไปสู่ดินแดนที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ ที่ภาพของเธอผู้นอนนิ่งอยู่บนเตียง ได้เข้ามาแทนที่ภาพของ ‘เธอ’ ผู้อยู่ในความทรงจำอันห่างไกล ทาบทับสนิทได้อย่างน่าประหลาด คงเหมือนกับเคนจิ เจ้าหนุ่มบรรณารักษ์ขี้อาย อดีตยากุซ่า พระเอกของเรื่อง ผู้มีความทรงจำทาบทับนิด สาวน้อยที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก่อนที่เขาจะให้ภาพของน้อย พี่สาวของเธอเข้ามาเป็นส่วนที่เป็นจริงที่สุด จะต่างกันก็ตรงที่ ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
.จบสิ้น ปิดฉาก สวมทับ ไร้ความต่าง
.
ผมฆ่าความทรงจำของตัวเองด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
..นาฬิกาบอกเวลาตีสี่กับอีกสิบนาที ภาพในจอโทรทัศน์ฉายให้เห็นเจ้าหนุ่มเคนจิ ในสภาพที่ถูกตรวจค้นในตอนจบของเรื่อง ยกมวนบุหรี่ของน้อยขึ้นมาทาบกับปาก ในจังหวะเดียวกันกับที่ผมดูดบุหรี่เข้าปอดอีกหนึ่งอึก สีหน้า แววตาของเขาในเรื่อง ช่างเปี่ยมล้น สงบสุข บรรลุถึงความพึงพอใจและความหวังอันสดใสที่เขาตั้งมั่นไว้กับเธอผู้อยู่ห่างไกล
.
“พร้อมกับสายตาอันเลื่อนลอยของผม ที่ค่อยๆ อาบด้วยหยาดน้ำที่ไหลรินรดสองแก้ม ให้กับความว่างเปล่าที่เกาะกุมในหัวใจ
.”
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น